การเลือกซื้ออุปกรณ์

สิ่งแรก ที่ควรจะต้องคำนึงถึงมากที่สุดในการ Upgrade หรือการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่คือ ถามใจคุณก่อนว่าต้องการซื้อคอมพิวเตอร์มาเพื่อทำอะไร เหตุผลหลัก ๆ ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในสมัยนี้ผมขอแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้
1. สำหรับใช้งานทั่ว ๆ ไปเช่น พิมพ์งานเอกสาร ต่าง ๆ หรือสำหรับเล่นอินเตอร์เน็ต
2. สำหรับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ
3. สำหรับงานที่ต้องใช้ความเร็วของ CPU สูง เช่นการใช้ทำงานเกี่ยวกับ CAD หรือการ Encode ต่าง ๆ
4. สำหรับใช้เป็นเครื่อง Server
ดังนั้น คำถามแรกสำหรับคุณ คือต้องการที่จะ Upgrade หรือซื้อคอมพิวเตอร์ มาเพื่อใช้สำหรับทำอะไร แล้วก็เลือกอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับงานของคุณ (โดยที่อาจจะมีการเผื่อการ Upgrade ในอนาคตด้วย)

หลักการเลือกซื้อ CPU สำหรับคอมพิวเตอร์
การเลือก CPU สำหรับคอมพิวเตอร์ นี้ควรจะเป็นสิ่งแรก ที่ต้องนึกถึงก่อนอย่างอื่น ให้มองภาพให้ออกก่อนว่า CPU ที่มีใช้งานอยู่ในตลาดปัจจุบันนี้มีรุ่นไหน ความเร็วเท่าไรกันบ้าง อย่าลืมว่า ยิ่ง CPU ที่มีความเร็วสูง ๆ ราคาก็จะยิ่งแพงตามไปด้วย หากท่านเลือกซื้อ CPU ที่ราคาแพง ๆ เมื่อใช้งานไปได้สักระยะหนึ่ง CPU ที่คุณเคยภูมิใจนักหนา อาจจะมีราคาตกลงมา เหลือแค่หลักพันต้น ๆ ก็ได้ ดังนั้นควรเลือกซื้อ CPU ที่เหมาะกับการใช้งานของคุณเองดีกว่า หากต้องการใช้งาน คอมพิวเตอร์ แบบธรรมดา ใช้พิมพ์เอกสารต่าง ๆ เล่นอินเตอร์เน็ต ก็เลือก CPU ที่ราคาถูก ๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่หากใครต้องการเน้นไปที่ การใช้งานแบบหนัก ๆ ก็คงจะต้องเลือก CPU ที่มีความเร็วและประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีกสักหน่อย อย่าลืมนะครับว่า ควรเลือกอุปกรณ์สำหรับเผื่อการ Upgrade ในอนาคตด้วย

การแบ่งชนิดของ CPU ขอแบ่งออกตามการออกแบบ และชนิดของเมนบอร์ดที่ใช้งานดังนี้
  • Intel Pentium 100-166 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 7 รุ่นแรก ๆ
  • Intel Pentium MMX 166-233 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 7 ที่ Support MMX
  • AMD K6-II 266-366 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 7 ทำงานที่ FSB 66 MHz
  • AMD K6-II 350-550 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Super Socket 7 ทำงานที่ FSB 100 MHz
  • AMD K6-III 400-450 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Super Socket 7 ทำงานที่ FSB 100 MHz
  • Intel Pentium II 233-333 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Slot 1 ทำงานที่ FSB 66 MHz
  • Intel Pentium II 350-450 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Slot 1 ทำงานที่ FSB 100 MHz
  • Intel Pentium III 450-600 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Slot 1 ทำงานที่ FSB 100 MHz
  • Intel Pentium III Coppermine 500 MHz ขึ้นไป ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 370 FC-PGA
  • Intel Celeron 266-533 MHz ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 370 ทำงานที่ FSB 66 MHz
  • Intel Celeron II 566 MHz ขึ้นไป ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket 370 ทำงานที่ FSB 66 MHz
  • AMD Athlon 500 MHz ขึ้นไป ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Slot A ทำงานที่ FSB 200 MHz (DDR)
  • AMD Duron 600 MHz ขึ้นไป ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket A ทำงานที่ FSB 200 MHz (DDR)
  • AMD Thunderbird 750 MHz ขึ้นไป ใช้กับเมนบอร์ดแบบ Socket A ทำงานที่ FSB 200/266 MHz (DDR)
อีกปัจจัยหนึ่งของการเลือก CPU คือขนาดของ Cache นะครับ โดยที่ Cache ส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ L1 และ L2 Cache (หรือ Cache Level 1 กับ Level 2) จะอยู่ในแผ่นชิปเดียวกับ CPU ทำงานที่ความเร็วเท่ากับ CPU แบบ Full Speed หรือทำงานที่ความเร็วครึ่งหนึ่งของ CPU หรือเรียกว่า Half Speed ดังนั้น ต้องหาข้อมูลของ CPU รุ่นต่าง ๆ กันก่อนนะครับ ว่ารุ่นไหนมี L1 และ L2 ขนาดเท่าไร ทำงานที่ความเร็วเท่าไร ยิ่งจำนวนของ Cache มีมากเท่าไร ก็จะได้ประสิทธิภาพของ CPU มากขึ้นนะครับ แถมท้ายเป็นความรู้นิดนึงนะครับ ว่าด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ Intel ต้องออก CPU แบบ Celeron มาโดยลดขนาดของ Cache ลงเพื่อให้เป็น CPU ราคาถูกแข่งขันกับ AMD แต่การลดขนาดของ Cache ก็ทำให้ประสิทธิภาพลดลงไปด้วยนะ
หากจะแบ่ง CPU ตามราคาต่าง ๆ แล้ว ก็อาจจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับ
  • CPU สำหรับตลาดระดับล่าง จะเป็น CPU ที่มีราคาค่อนข้างถูก คือ AMD K6II, AMD K6III, AMD Duron และ Intel Celeron
  • CPU สำหรับตลาดระดับกลาง จะเป็น CPU ที่มีราคาสูงขึ้นมา แต่จะได้ประสิทธิภาพต่าง ๆ มากขึ้นเช่น Intel Pentium II, Intel Pentium III หรือ AMD Athlon/Thunderbird
  • CPU สำหรับตลาดระดับสูง สำหรับงานที่ใช้ความเร็วค่อนข้างมากเช่นการทำ Server ต่าง ๆ ซึ่งขอไม่พูดถึง
ในส่วนของ CPU ของค่าย Intel รุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นแบบ Coppermine เช่น 500E, 550E, 533EB จะเห็นว่ามีรหัสต่อท้ายความเร็วด้วยนะครับ โดยที่ความหมายของรหัสต่าง ๆ คือ
  • E หมายถึง CPU แบบ Coppermine ใช้เทคโนโลยี 0.18 ไมครอน ใช้ FSB 100 MHz
  • B หมายถึง CPU ที่ทำงานโดยใช้ FSB เป็น 133 MHz
  • EB หมายถึง CPU แบบ Coppermine ใช้เทคโนโลยี 0.18 ไมครอน ใช้ FSB 133 MHz
  • ในส่วนของ CPU ที่ความเร็วสูงกว่า 667 MHz จะไม่มีรหัสต่อท้ายนะครับ เพราะว่าถ้าความเร็วสูงกว่านี้ก็คือจะเป็น EB ทั้งหมดซึ่งใช้ FSB เป็น 133MHz
สำหรับการเลือก CPU ที่เป็นแบบ FSB 133 MHz ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะทำให้ประสิทธิภาพ โดยรวมของระบบ ทำงานได้เร็วขึ้นกว่า CPU ที่ทำงานที่ FSB 100 MHz เพราะว่าการส่งถ่ายข้อมูลต่าง ๆ จะทำได้เร็วกว่า แต่ข้อเสียของ CPU แบบ FSB 133MHz คืออุปกรณ์ต่าง ๆ รอบข้างต้องมีคุณภาพค่อนข้างดีด้วย ไม่เช่นนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาได้มาก และข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพราะความเร็วบัสที่สูงถึง 133 MHz อยู่แล้วจึงทำให้การทำ Over Clock ทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย หากใครคิดจะซื้อมาลองทำ Over Clock ก้ให้เลือกแบบ FSB 100 MHz
หลักการเลือกซื้อ เมนบอร์ดสำหรับคอมพิวเตอร์
จากช้อมูลของ CPU ก็จะเห็นว่า เมนบอร์ด สามารถเบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ ๆ ได้คือ Socket 7 , Slot 1, Socket 370, Slot A และ Socket A นะครับ ก่อนอื่น หากท่านคิดจะเลือก CPU ตัวใหม่หรือจะทำการ Upgrade CPU ตัวเก่า ก็ลองมองดูก่อนนะครับว่า เมนบอร์ดอันเก่าของคุณนั้นเป็นแบบไหน จากนั้นก็หาข้อมูลว่าเมนบอร์ดนั้น ๆ สามารถรองรับ CPU ได้ความเร็วสูงสุดเท่าไร ลองพิจารณาดูข้อมูลของเมนบอร์ดแบบต่าง ๆ และความเร็วสูงสุดของ CPU ที่มีออกวางจำหน่ายด้วยนะครับ เพราะว่าบางครั้ง คุณอาจจะเพียงแค่เปลี่ยน CPU อย่างเดียวโดยยังใช้เมนบอร์ดเดิมก็ได้ ซึ่งจะเป็นการประหยัดเงินไปได้มากครับ หากเป็นการเลือกซื้อ เมนบอร์ด ใหม่เลย ผมขอยกตัวอย่างนะครับ เช่น เมนบอร์ดแบบ Socket 7 ในปัจจุบันนี้ ก็จะมี CPU ที่มีความเร็วสูงสุดเพียงแค่ K6II-550 MHz เท่านั้น ซึ่งหากคิดว่าจะไม่ทำการ Upgrade เครื่องคอมพิวเตอร์ ก็สามารถเลือกตัวนี้ได้ (เพราะว่าราคาจะถูกกว่า) แต่สำหรับเมนบอร์ดแบบ Slot 1 หรือ Slot A ปัจจุบันนี้ ยังมี CPU รุ่นใหม่ ๆ ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งความเร็วสูงสุดอาจจะขึ้นไปถึง 1GHz ก็ได้ คงต้องรอดูกันต่อไป
ในส่วนของเมนบอร์ด ก็จะมีอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมใช้กันมากคือ Slotket โดยหน้าที่หลักคือเป็นตัว Adapter หรือตัวแปลงให้สามารถนำเอา CPU แบบ Socket 370 (เช่น Celeron หรือ Pentium Coppermine) มาใช้งานบนเมนบอร์ดแบบ Slot 1 ได้ ส่วนใหญ่แล้ว มักจะนิยมซื้อเมนบอร์ดแบบ Slot 1 มาใช้กันมากกว่า เพราะว่าสามารถใช้งานกับ CPU Celeron ซึ่งมีราคาถูกได้ เมื่อต้องการจะ Upgrade เครื่องก็เพียงแค่เปลี่ยน CPU ไปเป็น Pentium III หรือ Coppermine ได้โดยไม่ยากนัก
ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับการเลือก เมนบอร์ด คือข้อมูลรายละเอียด Specification ต่าง ๆ ขอสรุปแนวทางการเลือกคร่าว ๆ ดังนี้
  • ชนิดและความเร็วของ CPU ที่ใช้งาน เช่นแบบ Socket 7, Slot 1 หรือแบบอื่น ๆ สามารถรองรับ CPU ความเร็ว ต่ำสุด-สูงสุด ได้เท่าไร
  • ชนิดของ Power Supply ว่าสามารถใช้กับ Power Supply แบบ AT หรือ ATX หรือใช้ได้ทั้งคู่
  • จำนวนของ ISA, PCI และ AGP Slot สำหรับเสียบการ์ดอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ISA จะเป็นอุปกรณ์แบบเก่า ๆ หากท่านยังใช้งานอุปกรณ์แบบ ISA อยู่ก็ต้องมองหาเมนบอร์ดที่มี ISA Slot ไว้ด้วย ส่วน PCI Slot จะเป็นการ์ดทั่ว ๆ ไปที่ใช้งานอยู่ และ AGP Slot ซึ่งใช้สำหรับการ์ดจอโดยเฉพาะ (AGP Slot จะมีเฉพาะในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ และมีเพียงแค่อันเดียว) ก็ดูที่ความเร็วว่าเป็น AGP แบบ 1X, 2X หรือ 4X
  • ชนิดและจำนวนของช่องเสียบ RAM และขนาดของ RAM สูงสุดที่สามารถขยายได้ในอนาคต
  • การปรับแต่งค่าต่าง ๆ เป็นแบบ Jumper หรือแบบใช้ Software ปรับใน BIOS หากเป็นการปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้ใน BIOS ก็จะทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเปิดฝาเคสชองเครื่องครับ
  • ความเร็วของ FSB และตัวคูณ ที่สามารถปรับแต่งได้ อันนี้สำหรับผู้ที่ต้องการทำ Over Clock นะครับเพราะเมนบอร์ดบางรุ่นจะสามารถปรับความเร็วของ CPU ได้อย่างละเอียด บางรุ่นจะปรับได้แค่ค่าที่ใช้งานทั่ว ๆ ไป ซึ่งก็ต้องดูจุดประสงค์สำหรับการใช้งานด้วย หากไม่ได้คิดจะทำ Over Clock ก็คงจะไม่จำเป็นนัก
  • การต่อใช้งาน HDD ถ้ารองรับ Interface ของ HDD แบบ UDMA-66 ก็จะช่วยให้การทำงานต่าง ๆ เร็วขึ้น
  • อุปกรณ์ Port ต่าง ๆ ที่มีแถมมาให้ด้วยเช่น USB Port หรือ Infrared Port
  • สำหรับการเลือกซื้อเมนบอร์ดเพื่อทำ Over Clock ก็ต้องเลือก เมนบอร์ด รุ่นที่มีความสามารถปรับอัตราส่วนความเร็วของแรม และความเร็วของระบบบัสต่าง ๆ ของ PCI หรือ AGP ที่ละเอียดขึ้นด้วยนะครับเช่นการใช้งานที่ FSB 133 MHz โดยที่ PCI และ AGP ยังทำงานในความเร็วมาตราฐานได้ด้วย
  • Chip Set ที่ใช้งานกับเมนบอร์ดนั้น ๆ ก็ลองมองดูสักหน่อยครับ ว่าเป็นของอะไร และจะมีปัญหากับอุปกรณ์อื่น ๆ หรือไม่ เช่นที่เคยทราบมาว่า Chip Set ของ ALI จะมีปัญหากับการ์ดจอของ TNT เป็นต้น อันนี้ต้องศึกษาข้อมูลเรื่องการไม่เข้ากันของอุปกรณ์บางอย่างให้ดีด้วยครับ รายละเอียดต่าง ๆ ผมขอแนะนำให้ลองหาข้อมูลตามเวปบอร์ดต่าง ๆ ที่มีคุยกันเรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นะครับ เช่นที่ http://www.pantip.com เป็นต้น
  • เลือกยี่ห้อของเมนบอร์ดที่มีการ Support หรือการ Update Driver ใหม่ ๆ ได้ง่ายจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะทำให้เราสามารถรับรู้ข่าวและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นรวมถึงการเปลี่ยนให้เมนบอร์ดสามารถใช้งานกับ CPU รุ่นใหม่ ๆ ที่อาจจะมีออกมาในอนาคตได้ด้วย
นอกจากนี้ สำหรับท่านที่มีงบน้อย ๆ เมนบอร์ดแบบ All in One เป็นเมนบอร์ดอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกได้ว่ามีราคาประหยัดมากเลย ลักษณะของเมนบอร์ดชนิดนี้คือจะมีการนำเอา VGA Card, Sound Card, Modem, LAN Card หรืออุปกรณ์อื่น ๆ มารวมไว้บนเมนบอร์ดของคุณ ข้อดีของเมนบอร์ดขนิดนี้คือ ราคาถูก ได้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นครบ โดยไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่มเติม แต่ข้อเสียของเมนบอร์ดแบบนี้คือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มารวมกันอยู่บนเมนบอร์ดนี้ จะทำให้ CPU ต้องแบ่งการทำงาน มาให้กับอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย ซึ่งอาจจะทำให้เครื่องโดยรวมช้ากว่าการใช้เมนบอร์ดแบบแยกส่วนมาก นอกจากนี้ เมนบอร์ดแบบนี้จะไม่ค่อยมี Slot ของการ์ดต่าง ๆ มาให้ขยายเพิ่มเติมมากนัก ส่วนใหญ่จะมีแค่เพียง Slot เดียว ซึ่งทำให้ยากต่อการขยับขยายในอนาคต หรือถ้าหากอุปกรณ์บางอย่างเกิดเสียขึ้นมา ก็อาจจจะไม่สามารถเปลี่ยนเฉพาะอุปกรณ์นั้น ๆ ได้ (ในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ อาจจะเปลี่ยนได้โดยการ Disable อุปกรณ์ที่มีอยู่บนเมนบอร์ดนั้น แล้วซื้อการ์ดใหม่มาเสียบแทน แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาตามมาครับ เช่นถ้ายกเลิก Sound Card ก็จะต้อง Disable Modem ที่อยู่บนเมนบอร์ดด้วย ต้องดูข้อมูลให้ดีนะครับ) สรุปว่า เมนบอร์ดแบบนี้เหมาะกับการใช้งานแบบธรรมดา พิมพ์เอกสาร เล่นอินเตอร์เน็ต ที่ไม่หนักมากนัก และไม่เน้นการเล่นเกมส์หรือการเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์บ่อย ๆ นัก เพราะว่าข้อดีของเมนบอร์ดแบบนี้คือ ราคาที่ถูกแสนถูก
การเลือกซื้อ Case สำหรับคอมพิวเตอร์
Power Supply และ Case สำหรับเมนบอร์ดก็เป็นอีกข้อหนึ่งครับที่ไม่ควรมองข้าง โดยทั่วไปแล้วคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ๆ จะใช้ Case แบบ AT แต่ถ้าหากเป็นรุ่นใหม่ ๆ แล้วจะเป็นแบบ ATX นะครับ ข้อดีของ Case และ Power Supply แบบ ATX คือ การออกแบบให้มีการระบายความร้อนได้ดีกว่า และการใช้ Power Supply แบบใหม่ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งานระบบ Power Management ต่าง ๆ ได้เช่นการตั้งเวลา เปิด-ปิด เครื่อง เป็นต้น และนอกจากนี้อย่าลืมว่า เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ เดี๋ยวนี้ก็จะใช้กับ Case และ Power Supply แบบ ATX เป็นส่วนใหญ่หมดแล้วนะครับ สำหรับท่านที่คิดจะทำการ Upgrade เครื่องเดิมที่เป็น Case แบบ ATแต่หาเมนบอร์ดได้ยาก ก็ลองมองดูส่วนของ Case นี้ด้วยนะครับหากเป็นไปได้ก็อาจจะลงทุนซื้อ Case พร้อม Power Supply แบบ ATX ใหม่ไปเลย ราคาก็คงอยู่หลักพันต้น ๆ เท่านั้น
ขนาดของ Power Supply รุ่นเก่า ๆ จะเป็น 200 วัตต์ หากเป็น Power Supply รุ่นใหม่ ๆ หน่อยก็จะเป็น 230-300 วัตต์ หรือสูงกว่านี้แล้ว ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกขนาดของ Power Supply ขนาดวัตต์สูง ๆ ไว้ก็ดี
การเลือกซื้อ ฮาร์ดดิสก์ สำหรับคอมพิวเตอร์
ในส่วนของ ฮาร์ดดิสก์ ก็คงจะไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก หากเป็นการ Upgrade เครื่องเก่า ก็ลองมองดูว่า ฮาร์ดดิสก์ ตัวเดิมของคุณยังมีขนาดเพียงพอสำหรับการใช้งานหรือไม่ สิ่งแรกที่ผมมองว่าควรจะพิจารณา คือขนาดความจุ หากเป็นการซื้อฮาร์ดดิสก์ตัวใหม่ เลือกขนาดที่ใหญ่ ๆ ไว้ก่อนก็ดี (ถ้าคุณมีเงินมากพอ) เพราะว่าในอนาคต ความต้องการใช้งานฮาร์ดดิสก์จะต้องการขนาดความจะที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมขอสรุปปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการเลือก ฮาร์ดดิสก์ ดังนี้
  • ขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์ พิจารณาและคำนวณราคาต่อหน่วยความจำให้ดี
  • ความเร็วการส่งถ่ายข้อมูล จะมีแบบ UDMA-33 และ UDMA-66/100 ก็เลือกแบบ UDMA-66/100 เพราะการส่งถ่ายข้อมูลจะทำได้เร็วกว่า (โดยที่หลาย ๆ ท่านบอกว่า ไม่มากนัก) และหากใครคิดจะใช้ความสามารถแบบ UDMA-66/100 ให้เต็มที่ก็ต้องเลือก เมนบอร์ด ที่สามารถใช้งานฮาร์ดดิสก์แบบ UDMA-66/100 ด้วย
  • ขนาดของ Buffer ที่เห็นมีอยู่ในปัจจุบันก็จะเป็น 512K, 1M และ 2M ยิ่งขนาดมากก็ยิ่งดี (แต่จะแพงขึ้น)
  • ความเร็วรอบ จะเห็นมีอยู่ 2 แบบคือ 5,400 และ 7,200 รอบต่อนาที ถ้าความเร็วรอบสูง การเข้าถึงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ก็จะเร็วกว่า แน่นอนราคาก็ย่อมแพงกว่าด้วย
  • ความทนทานและการรับประกัน อันนี้สำคัญมาก ขอแนะนำให้สอบถามจากผู้ที่เคยใช้งานมานาน ๆ ครับ ฮาร์ดดิสก์บางยี่ห้อจะค่อนข้างบอบบางมาก ใช้งานได้ไม่นานก็เริ่มออกอาการไม่ดีแล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นฮาร์ดดิสก์ที่ราคาถูก ๆ ผมไม่ขอแนะนำให้ใช้นะครับถึงแม้ว่าจะมีการรับประกันที่นานกว่าก็ตาม เพราะว่าข้อมูลต่าง ๆ ในฮาร์ดดิสก์มีค่ามากกว่าการเสียเวลานำฮาร์ดดิสก์ไปเปลี่ยนหรือซ่อม
  • เสียง ก็เป็นส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่ง แต่คงจะไม่สำคัญมากนัก ฮาร์ดดิสก์บางรุ่นเสียงจะค่อนข้างดังมาก ก็ต้องเลือกให้ดี
การเลือกซื้อ RAM สำหรับคอมพิวเตอร์
สำหรับ RAM ก็คงจะไม่มีอะไรมาก ควรเลือกซื้อยี่ห้อที่น่าเชื่อถือหน่อยก็ดี ขนาดของ RAM ที่จะใช้ขอแนะนำว่า การใช้งานคอมพิวเตอร์แบบทั่ว ๆ ไปกับ Windows 98 ควรที่จะมี RAM ประมาณ 64M. ไม่ขอแนะนำให้ใช้ RAM น้อยกว่านี้ ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้งานได้ก็ตาม เพราะว่าการที่ใช้ RAM น้อย ๆ จะทำให้ ฮาร์ดดิสก์ ต้องทำงานหนักขึ้นอีกมาก ๆ ครับซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ ฮาร์ดดิสก์เสียได้เร็วกว่าที่ควรครับ หากท่านที่ต้องการเน้นการเล่นเกมส์ หรือการใช้งานหนัก ๆ ก็ควรจะมี RAM ไม่น้อยกว่า 128M. ครับ สำหรับการ Upgrade เครื่อง การเพิ่ม RAM จะเป็นทางเลือกที่ประหยัดที่สุด แต่คุณต้องดูด้วยครับว่า RAM ที่คุณมีอยู่เดิมนั้นเป็นแบบไหน EDO-RAM 72 pin หรือ SD-RAM 168 pin รวมทั้งเมนบอร์ดเดิมของคุณนั้น สามารถใส่ RAM แบบไหนได้บ้าง หลักการเพิ่มและเลือกซื้อ RAM ขอแนะนำข้อที่ควรดูเมื่อเลือกซื้อ RAM ดังนี้
  • ขนาดของ RAM ต่อ 1 ชิ้น อย่าลืมนะครับว่าบนเมนบอร์ดคุณ จะมีข้อจำกัดของช่องใส่ RAM เช่นใส่ได้ 3 หรือ 4 ช่อง หากเลือก RAM ที่มีขนาดน้อย ๆ ต่อชิ้น เช่นเลือก RAM แถวละ 32M. คุณก็ต้องซื้อ 2 แถวเพื่อให้ได้ 64M. ในอนาคตอยากจะเพิ่มอีก ก็จะเริ่มเป็นปัญหาว่าไม่มีช่องใส่ RAM พอได้
  • การใช้ RAM ที่มีขนาด และความเร็วที่ไม่เท่ากัน ก็อาจจะเป็นปัญหาให้กับระบบคอมพิวเตอร์ ของคุณได้เช่นการไม่เสถียร หรือแฮงค์บ่อย ๆ ได้ ดังนั้น ถ้าเป็นการซื้อ RAM ใหม่ให้เลือกขนาดที่ใหญ่ที่สุดที่คุณต้องการเลย เช่น 64M. หรือ 128M. ต่อ 1 แถวและใส่ให้น้อยแถวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  • ความเร็วของบัสแรม ก็ต้องเลือกให้เข้ากับ CPU และ เมนบอร์ดด้วย (ความเร็วส่วนใหญ่จะเป็น 66, 100 และ 133 MHz) เช่น Celeron ใช้ความถี่ FSB 66 MHz อาจจะใช้งานกับ RAM แบบ PC-66 ก็ได้ แต่หากคุณใช้ CPU Pentium II หรือ Pentium III ซึ่งใช้ความเร็ว FSB 100MHz ก็ต้องใช้ RAM แบบ PC-100 ด้วยหรือ CPU รุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้ความเร็วบัส FSB 133 MHz ก็ต้องใช้แรมแบบ PC-133
  • ความเร็วของการส่งถ่ายข้อมูลของ RAM อันนี้คงจะดูกันยากหน่อย แต่โดยทั่วไปก็จะมีตัวเลขที่บอกความเร็วของการเข้าถึงข้อมูล เช่น 10 nsec, 8nsec หรือ 6 nsec เป็นต้น ตัวเลขยิ่งน้อย ก็ทำให้การเข้าถึงข้อมูลทำได้เร็วกว่า
  • สำหรับผู้ที่ต้องการ Over Clock ก็คงต้องเลือกยี่ห้อของ RAM กันหน่อย เคยได้ยินมาว่า RAM แบบ PC-133 บางยี่ห้อสามารถทำงานที่ความเร็วสูงถึง 180 MHz ได้ด้วย แต่ราคาก็แพงตามไปด้วย)
การเลือกซื้อ VGA Card สำหรับคอมพิวเตอร์
สำหรับ VGA Card ปัจจุบันนี้ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือการ์ดแสดงผลแบบ 2D และแบบ 3D ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเป็นการ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ ๆ ก็จะเป็นแบบ 3D กันหมดแล้วครับ เพียงแต่อาจจะแตกต่างกันทางด้านความเร็ว จำนวนของ RAM บนการ์ดและคุณภาพ ตามราคาเท่านั้น ในที่นี้ขอแบ่งวิธีการเลือกการ์ดแสดงผล ดังนี้
  • ชนิดของ Interface การ์ดจอ คือเป็นแบบ PCI หรือเป็นแบบ AGP ต้องเลือกให้ตรงกับเมนบอร์ดด้วยนะครับ (สำหรับเมนบอร์ดรุ่นเก่า ๆ จะมีแค่เพียงสล็อตแบบ PCI เท่านั้น หากเป็นเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ ก็จะมีสล็อต AGP มาให้ด้วย)
  • การใช้งานคอมพิวเตอร์แบบธรรมดา เช่นการพิมพ์เอกสาร ดูหนัง ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ต ก็เลือกการ์ดแสดงผลที่มี RAM ประมาณซัก 8M. ก็เพียงพอแล้วครับ เพราะราคาจะค่อนข้างถูกกว่ามาก
  • หากเน้นที่การเล่นเกมส์ ก็ต้องเลือกการ์ดแสดงผลแบบที่เป็น 3D โดยเฉพาะ และควรจะมีจำนวนของ RAM บนการ์ดค่อนข้างมากหน่อย เช่น 16M. หรือ 32M. หากเลือกการ์ดที่มี RAM มาก ๆ จะทำให้เล่นเกมส์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้นครับโดยที่ราคาก็จะแพงมากขึ้นตามไปด้วย
  • เลือกชนิดของ Chip Set ของการ์ดจอด้วย เนื่องจากการ์ดจอแต่ละแบบ จะมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปแล้ว ที่นิยมเลือกใช้งานกันก็จะมี Voodoo, TNT, Savage, SiS และอื่น ๆ ซึ่งอาจจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้จาก เวปบอร์ดต่าง ๆ ประกอบด้วย
  • ความเร็วของการส่งถ่ายข้อมูล เช่นเป็น AGP 1X, 2X หรือ 4X
  • ความสามารถในการ Over Clock ซึ่งรวมทั้งการ Over Clock CPU และการ Over Clock การ์ดจอด้วย สำหรับผู้ที่คิดจะทำ Over Clock โดยเฉพาะ
  • Option Video in, Video Out ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งถ้าหากมี Option พวกนี้มาด้วย ราคาก็จะสูงขึ้นอีกนิด
สรุปในส่วนของการเลือกซื้อการ์ดแสดงผลนะ ว่าซื้อตามจุดประสงค์ที่ต้องการใช้งาน และตามงบประมาณที่มีอยู่ แถมท้ายให้อีกนิดนึงนะ หากใครคิดจะเล่นเกมส์แต่งบน้อย เลือก CPU ที่ราคาถูก ๆ หน่อยเช่น Celeron แต่ไปเพิ่มงบให้กับการ์ดจอมากขึ้น ก็อาจจะได้คุณภาพโดยรวมดีกว่าการเลือก CPU ราคาแพงแต่ใช้การ์ดจอราคาถูก
การเลือกซื้อ Sound Card สำหรับคอมพิวเตอร์
สำหรับการเลือกซื้อ Sound Card หรือการ์ดเสียง อันนี้ผมคงจะไม่มีข้อเสนอให้มากนักนะ สรุปง่าย ๆ คือเลือกกันตามราคาไปเลย จะมีตั้งแต่แบบถูก ๆ ราคาไม่กี่ร้อยไปจนถึงราคาเป็นหลักพัน คุณภาพของเสียงที่ได้ก็จะเป็นตามราคาด้วยเช่นกัน โดยส่วนตัวของผมที่ใช้งานคอมพิวเตอร์แบบธรรมดานะครับ ผมใช้การ์ดเสียงรุ่นเก่า ๆ ก็พอใช้งานฟังเพลงได้ (บังเอิญผมไม่ใช่พวกหูทองซะด้วย เลยไม่ค่อยรู้สึกความแตกต่างมากนัก) ในส่วนนี้ขอแนะนำให้ เอางบประมาณที่ตั้งไว้ เผื่อไปที่ตัวลำโพงดีกว่า เลือกลำโพงแบบที่มี ซับวูฟเฟอร์ ด้วยจะช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงได้มากทีเดียวครับ ตัดใจโยนเจ้าลำโพงตัวเก่า ที่ร้านมักจะแถมมาให้ทิ้งไปเถอะ
อ้อ เกือบลืมไปอีกนิดนึง ในส่วนของการเลือก Sound Card ลองพิจารณาดูเรื่องของการเพิ่มเติมหน่วยความจำในอนาคต หรือการใส่ wave table ได้ด้วยซึ่งหากเป็นรุ่นใหม่ ๆ หน่อยก็จะสามารถทำได้อยู่แล้ว สรุปว่า ผมเองยังไม่ค่อยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้งาน Sound Card มากนัก หากท่านใดมีข้อแนะนำเพิ่มเติมเรื่องนี้ เมล์มาคุยกัน หรือแนะนำเคล็ดการเลือกซื้อด้วยก็จะขอบคุณมากครับ
การเลือกซื้อ Modem สำหรับคอมพิวเตอร์
ในส่วนของ Modem ที่เห็นรูปร่างจากภายนอก สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือแบบ Internal Modem และ External Modem ซึ่งขอแยกข้อดีและข้อเสียของ Modem ชนิดต่าง ๆ ดังนี้
  • Internal Modem จะมีข้อดีคือ ราคาถูกกว่า ไม่เกะกะสายตา เพราะจะเป็นการ์ดเสียบติดไว้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ไปเลย ไม่ต้องต่อสายหรือต่อ Power Supply ให้ยุ่งยาก และไม่เปลือง COM Port ที่มีอยู่จำกัด แต่ข้อเสียของ Internal Modem คือ การเคลื่อนย้าย หรือถอดออกไปใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ จะทำได้ค่อนข้างยาก และมักจะมัปัญหาหลาย ๆ อย่างตามมาด้วยเช่น สายอาจจะมีโอกาสหลุดได้บ่อย (ปัญหาหลักที่พบกันมาก) ต้องการ CPU ที่มีความเร็วค่อนข้างสูง จึงจะใช้งานได้แบบไม่มีปัญหา
  • External Modem จะมีราคาแพงกว่าแบบ Internal Modem และจะต้องมีสายต่อต่าง ๆ อยู่ภายนอกเครื่องให้เกะกะสายตาดี แต่ก็จะมีข้อดีคือ พบปัญหาของสายหลุดได้น้อยมาก และสามารถใช้งานกับ CPU ที่มีความเร็วไม่สูงมากนักได้สบาย ๆ การเคลื่อนย้ายก็ทำได้ง่าย
นอกจากนี้ การพิจารณาเลือกซื้อ Modem ก็ยังมีสิ่งที่อาจจะต้องพิจารณาไว้ (อาจจะไม่สำคัญมากนักแต่รู้ไว้ก็ดีครับ) ดังนี้
  • ความเร็วสูงสุดของ Modem ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็น 56K. กันหมดแล้ว แต่ต้องดูว่ารองรับมาตราฐานอะไรได้บ้าง เช่น X2 หรือ V.90
  • เป็น Hardware Modem หรือ Software Modem เพราะหากเป็นแบบ Software Modem จะต้องมีการใช้งาน CPU ส่วนหนึ่งด้วยซึ่งอาจจะใช้งานได้ดีเฉพาะเครื่องที่มี CPU ความเร็วสูง ๆ เท่านั้นครับ ส่วนใหญ่แล้ว Internal Modem จะเป็นแบบ Software จึงไม่เหมาะกับเครื่องรุ่นเก่า ๆ เพราะเป็นต้นเหตุของปัญหาสายหลุดได้ง่ายด้วย
  • สามารถรองรับระบบ Voice ได้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งาน Modem ในรูปแบบอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นการรับฝากข้อความต่าง ๆ ระบบ Audio Text เป็นต้น โดยขึ้นอยู่กับ Software ต่าง ๆ ด้วย
  • เป็นแบบ Half Duplex หรือ Full Duplex ข้อนี้เท่าที่เคยได้ยินมา จะเกี่ยวข้องกันการใช้งานประเภท การโทรทางไกลต่างประเทศ ผ่านอินเตอร์เน็ต ต่าง ๆ นะครับว่าจะต้องเป็น Modem แบบ Full Duplex ด้วยจึงจะใช้งานได้
การเลือกซื้อ CD-ROM Drive สำหรับคอมพิวเตอร์
ในส่วนของ CD ROM Drive ก็คงจะไม่มีอะไรให้เลือกมากนักครับ เลือกยี่ห้อที่ทน ๆ หน่อยหรืออาจจะเลือกซื้อจากร้าน ที่มีการรับประกันดี ๆ ครับ ความเร็วก็ประมาณซัก 40X ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือ ยิ่งเป็น CD ROM Drive ที่มีความเร็วสูงมากเท่าไร เสียงก็จะยิ่งดังมากขึ้นครับ ยกเว้น CD ROM Drive บางยี่ห้อหรือบางรุ่น จะสามารถปรับความเร็วให้ลดลงมาได้ด้วย (อาจจะโดยใช้ Software หรือการกดปุ่ม Control บนหน้าปัดก็ได้) รวมทั้งหากคุณใช้งานแผ่น CD-RW ก็คงต้องเลือกรุ่นที่สามารถอ่านแผ่น CD-RW ได้ด้วยนะครับ (เคยได้ยินมาว่า ประมาณ 24X ขึ้นไปจะสามารถอ่านแผ่น CD-RW ได้แล้ว แต่หลายท่านก็บอกมาว่า บางยี่ห้อ ไม่สามารถอ่านได้ครับ) ก่อนซื้อก็ถามคนขายดูให้แน่ใจด้วย
การเลือกซื้อ จอภาพ สำหรับคอมพิวเตอร์
สำหรับ จอภาพ ของคอมพิวเตอร์ ก็คงเป็นอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งครับที่ไม่มีให้เลือกมากนัก ส่วนใหญ่ก็จะเลือกกันที่ขนาดของจอ เช่น 14, 15 หรือ 17 นิ้ว เป็นจอแบบธรรมดา หรือ Flat Screen ราคาก็จะถูกแพง ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจอนั้น ๆ ครับ สิ่งที่ผมขอแนะนำให้พิจารณาดูด้วยก็คือ การตั้งค่าความละเอียดของการแสดงผลสูงสุดได้เท่าไร และการตั้งค่า Refresh Rate ตั้งได้สูงสุดเท่าไร และอย่าลืมว่า จอภาพคือส่วนที่เราต้องมองอยู่เกือบตลอดเวลาที่เราใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์
การเลือกซื้อ Printer
ในส่วนของ Printer ก็คงต้องเลือกกันตามความจำเป็นใช้งาน ซึ่งอาจจะแบ่ง Printer ออกได้เป็น 3 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้
  • แบบใช้ผ้าหมึก จะเป็น Printer แบบเก่า ๆ ภาพที่ได้จะไม่ค่อยสวย จะเหมาะกับการใช้งานพิมพ์เอกสารบนกระดาษต่อเนื่องต่าง ๆ โดยที่ราคาต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นจะถูกมาก
  • แบบ Laser จะเน้นที่การพิมพ์ ขาว-ดำ ครับโดยจะได้งานที่สวยงามขึ้นมา แต่ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นก็จะสูงขึ้นมาอีกหน่อย เหมาะสำหรับงานพิมพ์เอาสารทั่ว ๆ ไป
  • แบบ Ink Jet ส่วนใหญ่จะสามารถพิมพ์ภาพสีได้ด้วย ปัจจุบันมีการพัฒนากันถึงขั้นพิมพ์ภาพออกมาได้ใกล้เคียงกับภาพถ่ายจริงแล้ว แต่ข้อเสียก็คือ ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นจะค่อนข้างแพงมาก รวมถึงกระดาษที่ใช้สำหรับพิมพ์ อาจจะต้องใช้กระดาษแบบพิเศษเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามขึ้นด้วย
โดยส่วนใหญ่ก็จะดูกันที่ชนิดของการต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นต่อกับ Parallel Port หรือ USB Port ความเร็วของการพิมพ์ในแต่ละหน้า มีความละเอียดของการพิมพ์เช่น 720 dpi (720 จุดต่อนิ้ว) ยิ่งมีความละเอียดสูง ก็จะทำให้พิมพ์ภาพได้คมชัดขึ้นครับ แต่ก็ต้องพิจารณาถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใช้ในการพิมพ์ด้วย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ในเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่นด้วย เช่น Printer ของ Epson ที่เป็นแบบ Ink Jet รุ่นต่าง ๆ จะต้องมีการใช้งานอยู่สม่ำเสมอ หากไม่มีการใช้งานนาน ๆ อาจจะเกิดการอุดตันของหัวพิมพ์ก็ได้ ต้องหาข้อมูลเหล่านี้ดูให้ดีด้วย
การเลือกซื้อ Scanner
ในส่วนของ Scanner ก็ต้องดูเรื่องความละเอียดเป็นหลักครับว่าสามารถสแกนได้ความละเอียดสูงสุดเท่าไร ความเร็วของการสแกน ชนิดของหลอดไฟหรือหัวสแกนที่ใช้งาน ความสามารถทำสแกนฟิมล์ถ่ายภาพได้หรือไม่ รวมถึงการเชื่อมต่อโดยเป็นแบบ Parallel Port หรือ USB Port ด้วย
การเลือกซื้อ อุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ
  • Keyboard เลือกโดยทดลองกดปุ่มต่าง ๆ ดูว่าเหมาะมือของเราหรือไม่ ปุ่มสำหรับ Key พิเศษต่าง ๆ
  • Mouse เลือกโดยทดลองใช้งานให้เหมาะมือ ปุ่มก็ไม่ควรจะแข็งมากจนเกินไปนัก
  • Joy Stick เลือกตามราคา หรือทดลองใช้งานจริง ดูจำนวนปุ่มและ Function ต่าง ๆ ว่ามากน้อยเพียงใด
สรุปการเลือกซื้อหรือ Upgrade คอมพิวเตอร์สำหรับใช้งาน (ในความคิดของผม)
สุดท้ายนี้ ผมก็ลองทำบทสรุปเล่น ๆ สำหรับท่านที่ต้องการจะ Upgrade หรือซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นข้อมูลคร่าว ๆ เบื้องต้นนะครับ ขอย้ำว่าเป็นแค่เพียงแนวความคิดของผมคนเดียวเท่านั้น ควรจะสอบถามจากผู้อื่นเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการเลือกด้วย
  • P233MMX RAM 64 HDD 2G. VGA 8M.
    เป็น Spec เครื่องที่เรียกว่ายังพอใช้งานได้สำหรับการลง Windows 98 ใช้งานเอกสารธรรมดา ดูหนังฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ตได้อย่างสบาย หากใครมีเครื่องที่ความเร็วต่ำกว่านี้ และอยากจะทำการ Upgrade เครื่องก็ลองมอง spec แบบนี้ดูได้นะครับ ดีไม่ดีอาจจะเพียงแค่เพิ่ม RAM อีกหน่อย เปลี่ยนการ์ดจอใหม่สักนิด เท่านี้ก็พอแล้ว
  • K6II-550 RAM 64 HDD 4.3G VGA 8M.
    เป็น Spec ที่ผมแนะนำสำหรับการซื้อเครื่องใหม่แบบราคาประหยัด หรือหากใครจะเลือกเมนบอร์ดแบบ All in One ก็ได้ โดยที่การใช้งานยังไม่เน้นเล่นเกมส์มากนัก แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าใช้งานได้
  • Duron 650 RAM 128 HDD 8G VGA 3D 16M.
    เป็น Spec ที่ผมแนะนำสำหรับการซื้อเครื่องใหม่แบบราคาประหยัด แต่ต้องการคุณภาพที่ดีขึ้นมาอีกสักหน่อย จัดได้ว่าเป็นเครื่องอยู่ในระดับป่นกลาง ไม่ขี้เหล่อะไรมากนัก
  • Celeron 600 MHz ขึ้นไป RAM 128 HDD 10G. ขึ้นไป VGA 3D 16M หรือ 32M.
    เป็น Spec สำหรับเล่นเกมส์แบบประหยัด ผมขอแนะนำให้ใช้ CPU ระดับของ Celeron ก็พอแต่ไปเพิ่มเงินในส่วนของ VGA Card เลือกแบบที่ดี ๆ หน่อยเช่น Voodoo หรือ TNT ทำนองนี้ จะช่วยได้มากครับ
  • Pentium III ขึ้นไป RAM 128M. หรือมากกว่าอันนี้สำหรับท่านที่ต้องการความเร็วและความแรงจริง ๆ โดยที่การ์ดจอก็ควรจะเลือกแบบดี ๆ ไปเลยครับ ราคาไม่ต้องพูดถึง เพราะถือว่าเป็น Spec ที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
  • Tunderbird RAM 128M. หรือมากกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการความแรงในแบบฉบับที่ราคาประหยัดกว่า Pentium III อาจจะช่วยลดงบประมาณได้บ้าง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้ามจริง ๆ
เป็นไงบ้าง อาจจะมีแต่ตัวหนังสือมากไปหน่อย แต่รับรองว่า ทุกตัวอักษร มีความหมายและจะมองข้ามไปไม่ได้เลย สำหรับท่านใด มีข้อเสนอแนะ หรืออยากจะเพิ่มเติมข้อมูลต่าง ๆ ก็เมล์มาบอกกันได้นะครับ เพราะผมเองก็ต้องบอกว่า ไม่ได้เคยทดลองใช้งาน อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้ครบทุกตัว เพียงแต่นำข้อมูลที่เคยได้ยิน มารวบรวม และสรุป ตามความเข้าใจ ของผมเองเท่านั้นนะครับ
Link เวปไซต์ที่มีรายละเอียดราคาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ
หัวข้อเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น